เหมา เจ๋อตุง (ค.ศ. 1949–1976) ของ ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน

เหมา เจ๋อตงประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่งและเปลี่ยนการปกครองของประเทศเป็นระบอบคอมมิวนิสต์โดยพูดว่า" ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลกลางของประชาชน วันนี้ได้ก่อตั้งแล้ว ขอสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ บัดนี้"

หลังสงครามภายในจีนและชัยชนะเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนของพรรคก๊กมินตั๋ง ส่วนกำลังของเจียง ไคเช็ก อพยพไปที่เกาะไต้หวัน ประตูชัยแรกรวมตรวจระบบความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและที่ดินกว้างใหญ่ทำให้ดีขึ้นจากระบบที่ดินศักดินาที่เจ้าของที่ดินของจีนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของที่ดินเพาะปลูก ชาวไร่ ชาวนา และคนทำงานถูกเคลื่อนย้ายกับระบบการจัดจำหน่ายที่เท่ากันมากกว่าในความกรุณากว่ามั่งมีต่อชาวไร่ชาวนา เหมาเน้นหนักวางบน การต่อสู้ห้องเรียนและงานตามทฤษฎีและในปี 1953 เริ่มต้นการโฆษณาต่าง ๆ เพื่อปิดบังเจ้าของที่ดินก่อนและนายทุนทั้งหลาย

การปฏิรูปวัฒนธรรมในช่วงแรก

เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองประเทศ ได้มีการเปลี่ยนแปลงธงชาติ เพลงชาติ วันชาติจากเดิมเป็นวันสองสิบมาเป็นวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี สัญลักษณ์ของพรรคก๊กมินตั๋งถูกทำลายและสั่งห้าม

ส่วนในด้านภาษา เมื่อได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น รัฐบาลกลางพรรคคอมมิวนิสต์ได้ประดิษฐ์อักษรตัวย่อหรือ ฝานถี่จื้อ หรือที่เรียกว่า อักษรจีนตัวย่อ ขึ้นมาใช้แทนอักษรจีนตัวเต็มที่เป็นแบบโบราณและดั้งเดิมกลายเป็นอักษรภาษาจีนใหม่ ตัวอักษรดังกล่าวถูกต่อต้านโดยรัฐบาลสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ที่อยู่บนเกาะไต้หวัน เห็นว่าอักษรจีนตัวย่อเป็นของคอมมิวนิสต์ซึ่งทำลายอักษรจีนที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณและศิลปะวัฒนธรรมจีนแบบเดิม รัฐบาลสาธารณรัฐจีนจึงยังคงอนุรักษ์และยังคงใช้อักษรจีนตัวเต็ม ส่วนในสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงหันมาใช้อักษรจีนตัวย่อจวบจนปัจจุบัน

จีนกับการเข้าร่วมสงครามเกาหลี

ดูบทความหลักที่: กองทัพประชาชนอาสา
สำหรับบทความหลักในหมวดหมู่นี้ ดูที่ สงครามเกาหลี
ทหารจีน (กองทัพประชาชนอาสา)ในสงครามเกาหลี

หลังจากที่มีการแบ่งเกาหลีเป็น 2 ส่วนหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 คิม อิลซุง ผู้นำของเกาหลีเหนือมีความมุ่งมั่นตลอดมาที่จะรวมประเทศด้วยการใช้กำลัง จีนได้เข้ามามีส่วนสนับสนุนให้เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ในโลกทัศน์ของเหมา เจ๋อตง การเผชิญหน้ากับโลกทุนนิยมที่นำโดยสหรัฐอเมริกาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อการปลุกระดมมวลชนให้มีจิตสำนึกของการปฏิวัติตลอดกาลอีกด้วย จีนในต้นยุคสงครามเย็นจึงดำเนินนโยบาย “เอียงเข้าข้างหนึ่ง” (lean to one side) โดยลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 และในช่วงกลาง ค.ศ. 1949 ถึงต้น ค.ศ. 1950 จีนได้อนุญาตให้ทหารเกาหลีเหนือที่มาช่วยรบในสงครามกลางเมืองจีนจำนวนราว50,000 คนเดินทางกลับประเทศได้ ซึ่งต่อมาทหารเหล่านี้ส่วนหนึ่งกลายเป็นกองพลที่ 5 แห่งกองทัพประชาชนเกาหลีที่ตั้งมั่นอยู่ใกล้เส้นขนานที่ 38 จึงเท่ากับว่าจีนมีส่วนสนับสนุนให้เกิดสงครามครั้งนี้

ประธานาธิบดีแฮรี เอส ทรูแมน (Harry S. Truman) แห่งสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ให้กองเรือที่ 7 เคลื่อนไปยังช่องแคบไต้หวันเพื่อคุ้มครองรัฐบาลก๊กมินตั๋ง จึงเท่ากับเป็นการขัดขวางแผนการบุกไต้หวันของเหมา ต่อมาในวันที่ 15 กันยายนของปีเดียวกัน กองทัพสหประชาชาตินำโดยพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ (Douglas McArthur) แห่งสหรัฐฯ ได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองอินชอน (Inchon) และเมื่อถึงสิ้นเดือนนั้นก็สามารถขับไล่ทหารเกาหลีเหนือกลับขึ้นไปจนข้ามเส้นขนานที่ 38 ยึดกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ และมุ่งหน้าทิศเหนือสู่แม่น้ำยาลู่ (Yalu) ที่ติดกับพรมแดนของจีน คิมอิลซุงได้เรียกทูตจีนประจำเกาหลีเหนือเข้าพบเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมของปีนั้นเพื่อขอให้จีนส่งทหารมาช่วย เขายังส่งปักอิลยู (Pak Il U) เดินทางมากรุงปักกิ่งเพื่อยื่นจดหมายที่เขาเขียนด้วยลายมือตนเองอีกด้วย เหมาเจ๋อตงเรียกประชุมกรรมการกรมการเมืองอย่างเร่งด่วนในวันที่ 4 ตุลาคมเพื่อขอมติส่งทหารไปช่วยเกาหลี ถือเป็นสงครามรบนอกประเทศครั้งแรกหลังจากที่ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 1 ปีเท่านั้น โดยรัฐบาลกลางนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งทหารเข้าร่วมสงครามเกาหลีกว่า 1,350,000 นายโดยประมาณซึ่งมีผลอย่างมากในสงครามเกาหลี

จอมพลเผิง เต๋อหวย (Peng Dehuai) ซึ่งเป็นหนึ่งในเสียงข้างน้อยที่สนับสนุนการส่งทหารไปช่วยเกาหลีเหนือ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารและนำกองทัพข้ามแม่น้ำยาลู่ไปช่วยเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1950

การเข้าร่วมสงครามเกาหลีของทหารจีนจำนวน 1,350,000 คนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกาหลีเหนือยึดกรุงเปียงยางคืนมาได้และขับไล่กองทัพสหประชาชาติลงไปที่เส้นขนานที่ 38 ได้สำเร็จในเดือนมกราคม ค.ศ. 1951 อย่างไรก็ตาม จุดยืนที่แตกต่างกันระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือก็ปรากฏขึ้นในระหว่างสงครามเมื่อเหมาเจ๋อตงเห็นว่าเป็นการยากที่จะขับไล่กองทัพสหประชาชาติออกไปจากคาบสมุทรเกาหลีได้ทั้งหมด และการที่จีนสามารถขับไล่กองทัพสหประชาชาติลงไปที่เส้นขนานที่ 38 ได้สำเร็จก็นับว่าเป็นชัยชนะแล้ว หากแต่คิมอิลซุงผู้ก่อสงครามนั้นถือว่าชัยชนะสำหรับเขาจะต้องหมายถึงการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เนื่องจากคิมมีกำลังทหารน้อยกว่าจึงต้องยอมตามที่เหมาต้องการ โดยในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 มีการทำข้อตกลงสงบศึกระหว่างกองทัพจีนและกองทัพเกาหลีเหนือฝ่ายหนึ่งกับกองทัพสหประชาชาติอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเท่ากับว่าเกาหลียังคงแบ่งเป็นเหนือกับใต้ตามเดิม เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนเล็กน้อยเท่านั้น

ความล้มเหลวในการใช้กำลังรวมประเทศของคิมอิลซุงทำให้กลุ่มของโชชางอิก (Choe Chang Ik) ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจของเขาในพรรค กลุ่มดังกล่าวมีชื่อเรียกว่ากลุ่มเอี๋ยนอัน (The Yan’an Group) เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มจำนวนมากเคยทำงานร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ยังตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเอี๋ยนอันในมณฑลส่านซี พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำของจีนมากกว่าที่คิมอิลซุงมี แต่แล้วความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ใน ค.ศ. 1956 ก็ล้มเหลวและมีสมาชิกบางส่วนลี้ภัยไปยังจีน เหมาเจ๋อตงจึงส่งจอมพลเผิงเต๋อหวยและจอมพลเนี่ยหรงเจิน (Nie Rongzhen) เดินทางไปเกาหลีเหนือเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1957 เพื่อเจรจาขอให้คิมอิลซุงรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับเป็นสมาชิกพรรคตามเดิม ซึ่งก็สำเร็จเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะการแทรกแซงจากจีนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเอี๋ยนอันรวมถึงการที่จีนยังคงทหารเกือบ 500,000 คนเอาไว้ในเกาหลีเหนือหลังสงครามเกาหลีทำให้คิมอิลซุงเกรงว่าจีนอาจเป็นปัจจัยที่บั่นทอนอำนาจทางการเมืองของเขา ดังนั้นในปลายปีนั้นเองเขาได้ทำการกวาดล้างกลุ่มเอี๋ยนอันอีกครั้งและเรียกร้องให้จีนเคารพอำนาจอธิปไตยของเกาหลีเหนือด้วยการถอนทหารออกไป จีนจึงยอมถอนทหารทั้งหมดใน ค.ศ. 1958 เหตุการณ์นี้ทำให้สถานะความเป็นผู้นำของคิมอิลซุงนั้นโดดเด่นและดูเป็นอิสระจากจีนมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทหารจีนที่คงอยู่ในเกาหลีเหนือจนถึง ค.ศ. 1958 มีบทบาทสำคัญในการเป็นแรงงานช่วยฟื้นฟูบูรณะเกาหลีเหนือหลังสงคราม และจีนยังให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกาหลีเหนืออีกด้วย เมื่อคิมอิลซุงเดินทางไปเยือนจีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1953 จีนได้ตกลงให้เงินกู้เป็นจำนวน 800,000,000 หยวน และเงินช่วยเหลือที่จีนให้แก่เกาหลีเหนือใน ค.ศ. 1954 คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของงบประมาณของจีนในปีนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1958 จีนยังให้เงินกู้แก่เกาหลีเหนืออีก 25,000,000 เหรียญสหรัฐ และช่วยสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำอึนบอง (Unbong) 400,000 กิโลวัตต์บนแม่น้ำยาลู่อีกด้วย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความขัดแย้งกันในช่วงระหว่างสงครามและหลังสงคราม หากแต่โดยรวมแล้วจีนยังต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีเหนือเอาไว้และเกาหลีเหนือก็เล็งเห็นถึงคงามสำคัญที่ต้องพึ่งพาจีนอย่างมาก

ใกล้เคียง

ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทย